1661 24 Jan 2019
( ขอบคุณภาพจาก https://www.matichon.co.th/region/news_1328848 )
.
อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ Shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
ข่าวใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นการบุกสังหารพระดังนักพัฒนาในวัดยามวิการ กล่าวคือ เมื่อ 18 ม.ค.62
จากข่าวดังกล่าวทำให้ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจต่อพระท่านและญาติโยม พร้อมประณามคนร้ายที่ล้ำเส้นฆ่าพระซึ่งในศาสนาอิสลามได้สั่งห้ามแม้ในภาวะสงคราม(โปรดดูบทความผู้เขียนใน http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=4&id=223&fbclid=IwAR0t9eXSmZbYcpMRuOOOPreT5udq8uFaxAMhFGYuroZgxJFFf9NJadO1jx4) ในขณะเดียวกันขอประณามการใช้ความรุนแรงในสถานที่การศึกษา และการทำลายเป้าหมายอ่อนรวมถึงบุคคลทางศาสนาไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม ซึ่งเป็นปฏิบัติการผิดหลักการอิสลาม หลักการมนุษยธรรม และฝ่าฝืนกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องการออกแถลงการณ์ประณามเช่นกันจากทุกภาคส่วนไม่ว่าสำนักจุฬาราชมนตรี องค์กรชาวพุทธ องค์กรภาคประชาสังคมต่างๆรวมถึงองค์ภาคประชาสังคมที่เห็นต่างจากรัฐตลอด องค์สิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ความเป็นจริงก่อนจะเกิดการสังหารพระในครั้งนี้มีการลอบสังหารผู้นำศาสนาอิสลามระดับอิหม่ามและกรรมการอิสลามตลอดปี 2561 เช่น วันที่ 24 ธ.ค.2561 มีผู้ใช้อาวุธสงครามกระหน่ำยิงนายสะมะแอ เจ๊ะมะ วัย 45 ปี อิหม่ามมัสยิดบ้านท่าราบ ตำบลกะมิยอ อำเภอเมือง ปัตตานีในขณะอยู่ในที่จอดรถจนเสียชีวิต วันที่ 8 มิ.ย.2561 มีผู้ยิงนายอดุลย์เดช เจ๊ะแนวัย 55 ปี ผู้จัดการโรงเรียนลาลอวิทยา รองประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานีที่บริเวณหน้าโรงเรียน บาดเจ็บสาหัส รับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล วันที่ 11 ม.ค.2561 ยิงนายดอเลาะ สะไร หรืออับดุลเลาะห์ บิน อับดุลฮามีด วัย 62 อิหม่ามมัสยิดปูโปะจนเสียชีวิต ในวันที่ 19 ม.ค. 2561 มีคนร้ายลอบยิงนายยูโซ๊ะโต๊ะอิหม่าม หมู่ 16 บ้านคลองพน ตำบลนาทวี อำเภอนาทวี สงขลา ได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
ความล้มเหลวของรัฐตลอดปี 2561ที่ไม่สามารถนำไอ้โม่งสังหารผู้นำศาสนาของเขา(ในวงน้ำชามีข่าวพูดหนาหูว่าคนของรัฐเป็นผู้อยู่เบื้องวิสามัญฆาตกรรมผู้นำศาสนาของเขา)จะเป็นแรงขับให้คามรุนแรงชายแดนภาคใต้เพิ่มขึ้นตามข้อกังวลของผู้เขียนที่ได้เขียนไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 มิถุนายน 2561(https://www.matichonweekly.com/special-report/article_112662)รวมทั้งคลิปที่เด็กที่อยู่ในบ้านคนร้ายถูกกระสุนลูกหลงจากรัฐ รวมทั้งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของคนมลายูมุสลิมในเหตุการณ์ครูสตรีที่สอนศาสนาโดนรัฐจับ คลิปเด็กๆอนุบาลในโรงเรียนแห่งหนึ่งหวีดร้อง(ขอชีวิต)ท่ามกลางการปะทะของหน่วยความมั่นคงกับผู้ร้ายใกล้โรงเรียนเป็นตัวเร่งให้เหตุการณ์ร้ายนี้ประทุขึ้น
ข่าวการฆ่าพระครั้งนี้เป็นข่าวใหญ่ในสื่อไทยมากกว่าการฆ่าอิหม่ามหลายท่านก่อนหน้านี้ (อันนี้สื่อไทยจากส่วนกลางต้องยอมรับ)ถึงแม้คนมลายูมุสลิมไม่เห็นด้วยกับการฆ่าพระแต่รู้สึกน้อยใจเหมือนกันว่าส่วนใหญ่ของประเทศนี้ไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาแม้กระทั่งพูดแดกดัน(ผ่านโลกเซียล)ถึงสำนักจุฬาราชมนตรีว่า “นี่ ถ้าพระไม่เสียชีวิต แถลงการณ์การประณามทั้งพระและอิหม่ามคงไม่ออก การช่วยเหลือและการเยี่ยมเยี่ยมทั้งสองฝั่งคงไม่ถึง” (ทั้งๆที่สำนักจุฬาราชมนตรีทำมาตลอดเพียงแต่ไม่ออกข่าวดังเหมือนครั้งนี้)
ไม่เพียงมุสลิมที่ทำงานสันติภาพในชุมชนเท่านั้นที่โดนแต่คนพุทธที่ทำงานสันติวิธี และกะบวนการสันติภาพก็โดนถล่มว่าไม่รักชาติและบลา บลา…โดยเฉพาะจากเพจIO ทั้งสองฝ่าย
ณรรธราวุธ เมืองสุข ผู้เกาะสถาณการณ์ชายแดนใต้/ปาตานีตลอด 15 ปีให้ทัศนะผ่านเฟสบุกส์พอสรุปได้ว่า“ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เมื่อเกิดเหตุสังหารพระสงฆ์ที่สุไหงปาดี เพจ IO “ปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation ” ต่างๆ เอาไปขยายความต่อกันอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน คนไทยจำนวนไม่น้อยตกสู่หลุมพรางของการสร้างความเกลียดชังทั้งโดยความพร้อมใจและไม่รู้เนื้อรู้ตัวกันจำนวนมากซึ่งมีโอกาสนำไปสู่ใบอนุญาตให้เกิดการกวาดล้าง จับกุม คุมขัง และฆ่าคนที่คิดเห็นแตกต่างจากตัวเองโดยไม่ยี่หระกับความบาป หรือมนุษยธรรม จริยธรรมใดๆ ทางศาสนา”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “การต่อสู้ระหว่างรัฐและขบวนการเห็นต่างเปรียบเสมือนสงครามที่สร้างกระแสความรู้สึกได้อย่างชัดเจน” โดยเฉพาะครั้งนี้มันยิ่งสร้างความรู้สึกว่ามลายูมุสลิม ไม่ได้รับความเป็นธรรมโดนรังแก ถูกเหมารวม ในขณะชนกลุ่มน้อยชาวพุทธมองว่ารัฐก็ไม่ให้ความเป็นธรรม ให้ท้ายมลายูมุสลิม เอาใจพวกเขาสารพัด ผิดแล้วยังเยียวยา สร้างบ้าน ให้อาชีพ ไม่ให้ใช้ไม่แข่งจัดการดังนั้นคนไทยและรัฐต้องคิดให้ไกล คิดให้รอบคอบ ไม่ตกหลุมพรางในสงครามความรู้สึกครั้งนี้
ด้วยเหตุแห่งสงครามความรู้สึกครั้งนี้ของส่งเสียงต่อทุกภาคส่วนดังนี้
-ทำให้ความจริงให้ปรากฏ
ทำให้ความจริงให้ปรากฏทั้งสองฝ่ายตามกระบวนการยุติธรรมมาตรฐานสากล เป็นธรรม โปร่งใสมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ใช้กระบวนการนิติวิทยาศาสตร์และตรวจสอบได้ (อย่าลืมไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลที่ชายแดนใต้ว่ายังมี ยังใช้ได้ไหม)ในขณะที่ ควรระมัดระวังในการสั่งการจากผู้นำรัฐบาลว่าจะจัดการกับผู้ที่ฆ่าพระฝ่ายเดียวตามที่เป็นข่าว(โปรดดูhttp://www.krasaetai.com/2019/01/blog-post_31.html?m=1...)
-รอบคอบในนโยบาย
(79?fbclid=IwAR3rg1d6Elar7lYR61xgmLLEsPQgO46HRPp4n3Mme9BzTlLC_YRawYOf4gw) ถ้าเป็นจริงมีโอกาสที่จะทำให้พระและบริเวณวัดถูกตีความว่าไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยและยกเว้นการต่อสู้สงครามตามกฎการญิฮาด และกฎหมายสากล และจะสอดคล้องกับบางกลุ่มที่ปล่อยข่าวลือให้ชาวบ้านว่าทหารปลอมเป็นพระตลอด สิบห้าปีนี้
-คู่ขัดแย้งหรือคนเห็นต่างจากรัฐที่ใช้อาวุธ
ยึดกฎกติกา มารยาทการต่อสู้ด้วยอาวุธตามหลักญิฮาดและกฎหมายสากลโดยเฉพาะเด็ก ผู้บริสุทธิ์ สตรี ผู้นำศาสนาและพื้นที่ปลอยภัยอื่นๆ ในขณะเดียวกันหากกลุ่มขบวนการที่ต่อสู้กับให้หาญกล้าปฏิเสธหากไม่ทำเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามุสลิมมลายูในพื้นที่รวมทั้งมุสลิมทั้งประเทศเดือดจากการถูกเหมารวม
Hakim Pongtikorจาก รองประธานจากองค์กรPerMas
ได้ตั้งข้อกังวลหลังจากครูสอนศาสนาสตรีโดนจับและอิหม่ามโดนสังหารสามรายก่อนจะเกิดการสังหารพระ(11มกราคม 2562)ว่าตอนนี้โต๊ะอีหม่ามโดนใครไม่รู้ยิงจนเสียชีวิต3คนในรอบ3เดือน กังวลว่าจะมีการโต้คืนผู้นำศาสนาในศาสนาพุทธ (ถ้าผมคิดไปเองต้องขออภัย)โดยเฉพาะจากคนของขบวนการติดอาวุธโดยขบวนการติดอาวุธอาจคิดว่า การทำร้ายคนบริสุทธิ์ทำให้รัฐกระวนกระวายต้องปรับปรุงเเนวทางซึ่ง เเท้จริงเเล้วรัฐอนุรักษ์นยม(รัฐทหาร)ทำเป็นกระวนกระวายไปตามหน้าที่ เจ็บปวดวิตกเป็นจังหวะมนุษย์ทั่วไปแต่ไม่ได้ส่งผลต่อยุทธศาสตร์ทางออกความขัดเเย้งใดๆทั้งสิ้นซึ่งวิธีคิดโต้คืนรุนเเรงมีเเต่เสียกับเสียเพราะ
1.เป็นการละเมิดมนุษยธรรมอย่างรุนเเรง มนุษยชาติทั้งสากลเจ็บปวด มวลชนรับไม่ได้
2. การโต้ด้วยการละเมิดมนุษยธรรม Moral Ground ขบวนการว่าด้วยอุดมการณ์เอกราชตกต่ำลง
3. มวลชนสายอนุรักษ์ในประเทศไทยสนับสนุนกองทัพมากขึ้น พรรคฝ่ายทหารได้คะเเนนสนับสนุนมากขึ้น ยิ่งรัฐทหารเข้มเเข็ง ระบบอาณานิคมยิ่งเข้มเเข็ง
4. ถึงจะเห็นทั้งสองตาว่ารัฐมีนโยบายส่อละเมิดมนุษยธรรมชอบนำหน่วยทหารเเกว่งปืนเข้าโรงเรียนประถมหรือตาดีกา(โรงเรียนสอนคุณธรรมอิสลามสำหรับเด็ก) มักตั้งค่ายใกล้โรงบาลหรือสถานีอนามัย หรือสร้างค่ายทหารในวัดโดยที่เจ้าอาวาสไม่กล้าจะปฏิเสธใดๆในนามการรักษาความปลอดภัย เเต่ฝ่ายขบวนการที่มองว่าฝ่ายปาตานีเป็นผู้ถูกอธรรมไม่ควรเลียนแบบเเนวคิดรัฐเผด็จการ เพราะ ข้ออ้างเรื่องใครละเมิดก่อนมันไม่เป็นเหตุให้พ้นความผิดต่อการละเมิดได้ และในความเป็นจริงเเล้วรัฐมีช่องทางสื่อสารให้เหมือนดูดีเข้าใจได้เยอะกว่ามากทั้งภายในเเละระหว่างประเทศ สุดท้ายขบวนการจะโดดเดี่ยว จริงอยู่ใครกดขี่เรา เราต้องลุกขึ้นสู้แต่ชัยชนะมันอยู่ระหว่างช่วงเวลาของการต่อสู้ที่ยึดมั่นในคุณค่ามนุษยธรรมหรือปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างไม่เลือกปฏิบัติครับ
-สื่อ
ในขณะที่สื่อเองจะนำเสนอข่าวครั้งนี้อย่างไรเช่นกันที่จะไม่ทำให้ผู้คนทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าถูกสร้างความเกลียดชัง เหมารวม
การสื่อสาร เพื่อทำความเข้าใจ หาทางออกที่ลงตัว และสร้างความรู้สึกร่วม ซึ่งจะมีพลังและแก้ปัญหาที่สาเหตุ มากกว่าการแก้ที่อาการหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นปลายเหตุ
รีบสร้างความเข้าใจศาสนิกตนเองผ่านจิตวิญญาณศาสนาและสานสัมพันธ์กับผู้นำศาสนาอีกศาสนา
เพราะความเป็นจริงในภาพรวมผู้นำพุทธ-มุสลิมยังเข้าใจกันดีและสามารถสานเสวนาได้จึงอยากฝาก(ให้ทำตลอดสม่ำเสมอ)ว่าถึงแม้ผู้นำศาสนาพุทธ-มุสลิมโดนฆ่าแต่เราทั้งสองจะยังสานต่อการสร้างสันติภาพด้วยศาสนธรรม ด้วยจรรยามารยาทเพื่อมนุษยชาติดั่งที่ทีมงานสำนักจุฬาราชมนตรีที่รุดเยี่ยมผู้นำศาสนาทั้งสองฝ่าย(โปรดดู https://www.youtube.com/watch?v=DfdjV7ODilI)
ไม่ตกหลุมพรางในสงครามความรู้สึกพร้อมทั้งต้องอดทนหนักเน้น
ดังที่
“ระวังอย่าเดินตกหลุมสงครามความรู้สึก กรณีเหตุยิงพระสงฆ์ที่สุไหงปาดี”
(จริงอยู่)เหตุยิงพระสงฆ์มรณภาพ 2 รูปและบาดเจ็บอีก 2 รูป ที่วัดรัตนานุภาพ สุไหงปาดี สร้างความสะเทือนใจกับความรู้สึกของผมอย่างยิ่งเมื่อผมทราบข่าว ก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์ มีเหตุยิงโต๊ะอิหม่ามที่รือเสาะเสียชีวิตเช่นกัน แต่ผมกลับไม่ได้มีความรู้สึกเท่า ทำให้ผมจึงเข้าใจได้ทันทีว่า นี่คือ "สงครามความรู้สึก" อย่างที่ ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี แห่ง มอ.ปัตตานี เคยตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อสิบปีก่อน
การยิงพระสงฆ์นั้น ถ้าถามว่าฝ่ายขบวนการต้องการอะไร ทำไปทำไม ฝ่ายขบวนการเขาไม่ได้ยิงเพื่อมุ่งเป้าสร้างความหวาดกลัวกับคนพุทธเท่านั้นหรอก ความหวาดกลัวที่สามจังหวัดนั้นมากจนเป็นความเคยชินที่ยอมรับสภาพกันไปแล้ว แต่แท้จริงเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกทางความรู้สึกระหว่างพี่น้องพุทธและมุสลิม และหวังผลในระดับชาติ
พี่น้องในพื้นที่สามจังหวัดนั้นเขาได้ปรับตัวอย่างมากเข้าสู่โหมดสมานฉันท์อยู่ร่วมกันสองวัฒนธรรมอย่างลงตัวท่ามกลางควันปืนมาหลายปีแล้ว อันนี้ไม่น่าเป็นห่วงมาก การยิงพระสงฆ์คงไม่ได้ทำให้เปลวสงครามความรู้สึกของคนชายแดนใต้กระพือมากนัก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือคนไกล คนที่อยู่นอกพื้นที่สามจังหวัดต่างหาก
ความรู้สึกอคติและแบ่งแยกของพี่น้องพุทธต่อพี่น้องมุสลิม คือรากฐานอันสำคัญยิ่งของการแบ่งแยกดินแดน การเหมารวมและสบถด่าอย่างไม่แยกแยะคือเชื้อไฟอันดีที่ฝ่ายก่อเหตุต้องการ ความรู้สึกที่ไม่ดี ที่แบ่งพวก ที่ชิงชังระหว่างพุทธมุสลิมคือเป้าหมายของการยิงพระสงฆ์ในทุกครั้ง เราจึงต้องไม่เดินตกหลุมที่ถูกขุดเอาไว้ พี่น้องมุสลิมร้อยละ 99 เป็นคนดี มีวิถีชีวิตที่ดิ้นรนจากสภาพเศรษฐกิจสังคมที่บีบรัด มีความเคร่งครัดในวิถีศาสนาที่เขาศรัทธา ใจดีมีรอยยิ้ม มีน้ำใจ รักสันติ มีเพียงส่วนน้อยมากเท่านั้นที่สร้างสถานการณ์
คนไทยจึงต้องไม่เดินตกหลุม เพิ่มเชื้อไฟสงครามความรู้สึก กรณีเหตุยิงพระสงฆ์ที่สุไหงปาดี”
พร้อมทั้งต้องอดทนหนักเน้น ถึงแน่นอนจะถูกโจมตีในไฟแค้นครั้งนี้โดยเฉพาะหากดูคอมเมนต์นักเลงคีย์บอร์ด
เหล่านี้คือโจทย์ร่วมกันที่เราจะต้องช่วยกันบริหารความยุติธรรมด้านความรู้สึกในสงครามความรู้สึกชายแดนใต้ เพราะนี่คือ“ความรู้สึก” ของคนในภาวะเจ็บปวด เคียดแค้นและสะสมมานาน 15 ปี
24 Jan 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
11 Feb 2024
11 Feb 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม