1593 24 Nov 2018
( ขอบคุณภาพจาก : https://www.winnews.tv/news/5064 )
9 ธันวาคม 2561 ครบรอบ 20 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือชื่อเต็มว่า ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิและความรับผิดชอบของปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรของสังคม ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสากล ที่ผ่านการลงคะแนนเสียงจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ รัฐสมาชิกทุกรัฐจึงมีพันธะว่าต้องทำให้เป็นกฎหมายภายในประเทศตน
ปฏิญญานี้กล่าวถึงมนุษย์ทุกคนที่มีหน้าที่ปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยให้ความช่วยเหลือและปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการทำงานเคลื่อนไหวโดยสันติ และระบุหน้าที่ของรัฐและความรับผิดชอบของมนุษย์ทุกคนที่มีต่อการปกป้องสิทธิมนุษยชน
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่โรงแรมเซ็นจูรี่พาร์ค กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดเวทีพูดคุยในประเด็น “จากรายงานของยูเอ็นถึงแนวทางการทำงานเพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนของไทย” โดยมีเวทีเสวนา “20 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน: แนวทางเพื่อยกระดับการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย”
อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า เมื่อปี 2548 ประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการตามกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ของสหประชาชาติเรื่องการคุ้มครองและสืบสวนกรณีการทำร้ายนักปกป้องสิทธิมนุษยชน จากการเสียชีวิตของเจริญ วัดอักษร และสมชาย นีละไพจิตร ต่อมาเมื่อปี 2559 ประเทศไทยเข้าสู่การทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนด้วยระบบยูพีอาร์โดยได้รับข้อเสนอแนะจากประเทศสมาชิก สหประชาชาติเรื่องนักปกป้องสิทธิมนุษยชน 10 ข้อ ซึ่งประเทศไทยรับว่าจะนำมาปฏิบัติ เช่น การคลี่คลายคดีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกอุ้มหายถูกฆ่า รวมถึงการหามาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการคุกคามในรูปแบบต่างๆ
“ปัญหาคือจนวันนี้ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนออกมา ทั้งยังพบว่า 3-4 ปีนี้มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะผู้หญิง ถูกฟ้องร้องถูกดำเนินคดีมากขึ้น บางคนถูกฟ้องเกือบสิบคดี กรณีธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนนอกจากนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกบริษัทธุรกิจฟ้องแล้วหลายคนถูกเจ้าหน้าที่รัฐฟ้องร้องดำเนินคดีในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย ซึ่งถือเป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคาม ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการแสดงความเห็นและการแสดงออก กรรมการสิทธิฯ รับเรื่องร้องเรียนและได้ตรวจสอบกรณีการคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายกรณี และได้ทำข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีมาตรการป้องกันแต่ปัจจุบันยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังกังวลถึงเรื่องการคุกคามทางสื่อออนไลน์ซึ่งมีการใช้ถ้อยคำที่ทำให้สร้างความเกลียดชังหรือใส่ร้ายป้ายสี รวมถึงการคุกคามทางเพศต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงด้วย”
อังคณา เสนอว่าควรมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจเพื่อยุติกรณีการฟ้องร้องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหรือฟ้องเพื่อกลั่นแกล้งหรือเพื่อทำให้เกิดความยากลำบากกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน อยากให้รัฐมีมาตรการป้องกันการคุกคามโดยสื่อออนไลน์รวมถึงการคุกคามทางเพศ ส่วนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกสังหารอุ้มหาย รัฐต้องมีความพยายามในการคลี่คลายคดี ต้องเอาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้
ปรานม สมวงศ์ องค์กรโปรเท็คชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงปัญหาการคุกคามนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกว่ามีรูปแบบการคุกคามหลากหลาย ส่วนใหญ่การคุกคามผู้หญิงนักปกป้องสิทธิที่ได้รับแจ้งมักมีขั้นตอนคือ 1.โทรศัพท์ข่มขู่นักปกป้องสิทธิและคนในครอบครัว 2.บุกมาหาถึงบ้านหรือเข้าหาครอบครัว เมื่อมีหน่วยงานความมั่นคงติดตามทำให้เพื่อนบ้านและครอบครัวตกใจหวาดกลัว และผู้หญิงถูกมองว่าเป็นผู้กระทำผิด 3.หากนักปกป้องสิทธิมีตำแหน่งทางราชการ จะถูกคอยสอดส่องร้องเรียนว่าใช้เวลาราชการมาเคลื่อนไหวหรือใช้ตำแหน่งกดดัน 4.ดักฟังทางโทรศัพท์ ติดตามความเคลื่อนไหวไปยังสถานที่ต่างๆ 5.ใช้กระบวนการทางกฎหมายฟ้องร้องเพื่อยุติการเคลื่อนไหว 6.หากพื้นที่ขัดแย้งมีผลประโยชน์จำนวนมาก นายทุนจะเสนอเงินหรือตำแหน่งให้ หากปฏิเสธจะเริ่มฟ้องร้องแล้วขอเจรจา 7.เมื่อคุกคามทุกรูปแบบแล้วไม่สามารถยุติการเคลื่อนไหวได้ นำมาสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือการลอบสังหาร
“รัฐควรเข้ามามีบทบาท คือ 1.ยอมรับและตระหนักถึงคุณค่าในบทบาทของนักปกป้องสิทธิทั้งหญิงชายและต้องมีหลักประกันในการคุ้มครองและสนับสนุน เพื่อเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิตของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ 2.ยกเลิกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคร้ายแรงต่อการทำงานของนักปกป้องสิทธิ เช่น ม.44, คำสั่ง คสช. ที่ 3/2558, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และกฎหมายอื่นที่จำกัดเสรีภาพการชุมนุมและการแสดงออก 3.ยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด การเลือกปฏิบัติ ใช้หลักนิติธรรมเป็นข้ออ้างในการจัดการกับประชาชน และการปฏิเสธไม่ให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม รวมถึงต้องมีกระบวนการทบทวนอย่างโปร่งใสในกรณีที่มีการใช้คดีเป็นเครื่องมือในการคุกคามผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ”
ปรานม เผยว่ามีแนวทางในหลายประเทศที่ออกกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เช่น ฮอนดูรัส เม็กซิโก คองโก แถบแอฟริกาตะวันตกก็สนใจจะมีนโยบายและกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมากขึ้น ส่วนอินโดนีเซียมี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านผู้หญิงที่ทำงานปกป้องผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะ
แสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความอาวุโส กล่าวถึงการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน(SLAPP) ว่ากลายเป็นแนวทางที่นิยมใช้กันทั่วไป ทั้งในภาครัฐและบริษัทที่ทำโครงการขนาดใหญ่แล้วมีปัญหากับชาวบ้าน โดยส่วนใหญ่เป็นคดีที่โทษไม่สูงนัก แต่ทำให้ชาวบ้านหยุดเคลื่อนไหว จึงเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กรณีอัยการส่งฟ้องถ้ามีเหตุพอสมควรศาลควรไต่สวนมูลฟ้องให้มีขั้นตอนการกลั่นกรองก่อนเข้าการสืบพยาน
“ไม่ใช่ว่าการชุมนุมจะไม่มีเรื่องผิดกฎหมายเลย อะไรเกินเลยก็ลงโทษไป แต่ไม่ใช่ทำในลักษณะฉวยโอกาส ชาวบ้านที่โดนคดีก็ต้องรู้ทันกฎหมายและไม่ตื่นกลัว ต้องมองว่าเป็นโอกาสสื่อสารให้สังคมเข้าใจว่ามีปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ได้รับอยู่ ด้านกลไกรัฐส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาต้องดูว่ามีการฟ้องโดยไม่สุจริตด้วย หลายกรณีที่ขึ้นศาลแล้วยกฟ้อง จึงควรเอาใจใส่ทบทวนการดำเนินคดีในลักษณะที่เป็นการกลั่นแกล้ง” แสงชัยกล่าว
**********
เนาวรัตน์ เสือสอาด
ผู้ประสานงานฝ่ายสื่อสารองค์กร
Naowarat Suesa-ard
Media and Communication Coordinator
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
139/21 ซอยลาดพร้าว 5 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
มือถือ 089-922-9585
24 Jan 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
11 Feb 2024
11 Feb 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม