ปัญหาใต้:จะต้านหรือหนุนกฎอัยการศึกแต่ต้องสันติวิธี

1492 29 Sep 2018

ขอบคุณภาพจาก  :  http://pulony.blogspot.com/2016/11/3_24.html

ปัญหาใต้:จะต้านหรือหนุนกฎอัยการศึกแต่ต้องสันติวิธี

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

 กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้

 Shukur2003@yahoo.co.uk

              ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

        หลังจาก 16 ก.ย.61 พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) ทิ้งทวนก่อนหมดวาระในตำแหน่งแม่ทัพภาคสี่ 30 กันยายน 2561 นี้ ลงนาม(เซ็นต์)คำสั่ง ฉบับที่ 86/2561 ให้ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำซำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษชั่วคราวโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 และกำหนดให้ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวนำอาวุธปืน และเครื่องกระสุนทุกชนิด รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือทุกประเภทมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 17-23  ก.ย. 2561 ณ ที่ว่าการอำเภอหนองจิก จ.ปัตตานี

            ประกาศฉบับนี้อันเนื่องมาจาก เหตุการณ์ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารพรานที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 4 นายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 นอกจากประกาศคำสั่งแล้ว พล.ท. ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ได้จัดแถลงข่าวที่แข็งกร้าวมากๆ ณ มณฑลทหารบกที่ 46 โดยในแถลงข่าว จะจัดส่ง เจ้าหน้าที่กว่า 1,000 นาย( เป็นกำลังร่วมทั้ง ตำรวจ ทหาร นาวิกโยธิน หน่วยบิน และฝ่ายปกครอง) ดำเนินการปฏิบัติการทางทหารเพื่อการจับกุมผู้กระทำผิดและ และข่มขู่ว่าจะเตรียมกฎหมายให้เข้มข้น โดยอาจจะต้องเอาผิด ถึงพ่อแม่ ภรรยา ญาติพี่น้องของผู้ต้องสงสัยที่กำลังหลบหนี ที่สำคัญ และประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ ทั้งสองตำบลคือ ตำบลบางเขา และ ตำบลท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี นำอาวุธปืน/เครื่องกระสุน และยานพาหนะ มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2557 

    ในรายงานข่าวของสถาบันข่าวอิศราและการลงพื้นที่ของประชาสังคมรวมทั้งนักศึกษาพบว่ามีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่าชาวบ้านเดือดร้อนเป็นส่วนใหญ่

         สถาบันข่าวอิศรา รายงานว่า “ ผลของปฏิบัติการสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ถึง 10 คน แต่การกวาดจับถูกร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่ทันทีว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์โดยมิชอบ” (โปรดอ่านรายละเอียดใน https://www.isranews.org/south-news/other-news/69554-martial_69554.html)

               นักศึกษา Permass ประกอบด้วย นักศึกษามหาวิทยาลัยสงขานครินท์ วิทยาเขตปัตตานี,มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่,มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนคริทร์ จำนวนประมาณ 150 คน ได้เดินทางลงพื้นที่ บ้านบางทัน ต.บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อพบปะเยียมเยียน ประชาชนในพื้นที และได้ร่วมกันทำการละหมาดฮายัต ที่มัสยิดนูรุ้ลอีบาดัตบางทัน ม.3 ต.บางเขา อ.หนองจิก หลังละหมาดเสร็จได้ออกเดินเท้าไปพบปะเยี่ยมเยียน ประชาชนในพื้นที่ทุกหลังคาเรือนเพื่อสอบถามถึงผลกระทบต่อการประกาศใช้กฎอัยการศึกปรากฎว่าชาวบ้านเดือดร้อนในภาพรวม  หวาดกลัวเพราะมีเจ้าหน้าที่จำนวนมากอาวุธครบมือ บางคนปีนหลังคา เข้าค้นโรงเรียนตาดีกา ประชาชน ไม่กล้าออกไปทำมาหากิน  หมู่บ้านเงียบสงัด

 

 

 (ดูบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในhttps://www.facebook.com/wartanimap/videos/516063425471972/)

       ในขณะที่กลุ่มสตรีเพื่อสันติภาพได้ลงพื้นที่เช่นกันและเล่าบรรยากาศโดยนางโสรยา  จามจุรี(เพื่อนร่วงานผู้เขียนในสภาประชาสังคมจชต.)ว่า

 

 

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1898758896884790&set=a.614532105307482&type=3&theater

        “ที่ท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานีพวกเรากลุ่มผู้หญิง ที่มีทั้งพุทธ และมุสลิมได้มีโอกาสเยี่ยมครอบครัวที่สามีเป็น1 ใน 8 ผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว หลังเกิดเหตุการณ์ทหารพรานสองนายถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ11ก.ย.ที่ผ่านมา  เธอมีลูกเล็กๆสี่คนที่ต้องดูแล หลังส่งลูกสามคนไปโรงเรียน ราวเก้าโมงกว่า เธอจะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเยี่ยมสามีทุกวันที่ค่ายในปัตตานี นับเป็นวันที่ 7 แล้ว และเป็น 7 วันที่เธอต้องหยุดงานและขาดรายได้(เธอทำงานโรงงานยางแห่งหนึ่ง เป็นลูกจ้างรายวันๆละ 308 บาท)

ในยามที่คนในครอบครัวถูกควบคุมตัวโดยกฎหมายพิเศษ(กฎอัยการศึก/พรก.ฉุกเฉิน) การเยี่ยมอย่างใกล้ชิด และให้เวลาแก่คนในครอบครัวได้เยี่ยมที่เหมาะสมและเพียงพอ เป็นสิทธิพื้นฐาน/หลักมนุษยธรรมที่ผู้หญิง ผู้เป็นแม่ เมีย ต้องการมากที่สุด และจะเป็นหลักประกันอย่างหนึ่ง ว่าคนที่ถูกควบคุมตัวนั้น ปลอดภัย  เธอบันทึกการเยี่ยมทุกครั้ง ปัญหา อุปสรรคที่พบ และวาดรูปประกอบ ลายมือสวยมาก ทั้งๆที่จบแค่ป.6  ในวันที่สามีไม่อยู่บ้าน จะเพราะโดนยิง โดนระเบิด จนเสียชีวิต
(เสียชีวิตจากสถานการณ์เกือบ 7,000 คน ตั้งแต่ปี 2547)หรือถูกควบคุมตัว (หลายหมื่นคน)ต้องขัง (ประมาณ 500 คน)ก็แล้วแต่ ผู้หญิงและเด็กๆที่เป็นผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ที่บ้าน จะเป็นผู้แบกรับผลกระทบอันโหดร้ายทารุณ... 
จากข้อมูลแบบเร็วๆ (ยังไม่รอบด้าน)ที่ได้จากการพูดคุยกับชาวบ้านที่ร้านนำ้ชาหมู่ 3 ต.บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานีชาวบ้านบอกว่าที่กระทบกับวิถีชีวิต ก็คือ ในยามค่ำคืนรู้สึกกลัว ไม่ปลอดภัยและเกรงว่าจะเกิดการเข้าใจผิดจากเจ้าหน้าที่ ด้วยเหตุนี้หลังละหมาดอีซา(เวลาประมาณ 2 ทุ่ม) ก็เลยตัดสินใจพักการออกเรือไปหาปลา หากุ้ง ช่วงนี้ไปก่อน (ปกติเคยมีรายได้จากทำประมง 300 - 500 บาท/ครั้ง) จนกว่าสถานการณ์จะปกติ   ถามว่ากลางค่ำกลางคืน คนยังกล้ามานั่งร้านนำ้ชาอยู่ไหม ชาวบ้านบอก ก็มาเป็นปกติ กว่าร้านจะปิดก็ราวตี11 ส่วนการขึ้นทะเบียนอาวุธ เรือ ยานพาหนะ ชาวบ้านก็ให้ความร่วมมือ แต่จะให้ดี จนท.ควรอำนวยความสะดวก จัดหาเครื่องซีร็อกส์เอกสารประกอบการขึ้นทะเบียนด้วย ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของชาวบ้านได้มากเพราะค่าถ่ายเอกสารในหมู่บ้านแพง แผ่นละตั้ง 2 บาท การขึ้นทะเบียนต้องใช้เอกสารประกอบหลายชุดเลยทีเดียว ไอ้ครั้นจะออกไปถ่ายในเมือง ราคาถูก ก็ไม่คุ้มค่านำ้มันรถ  ดูเหมือนความรุนแรงรายวันและมาตราการทางทหารที่เคยประสบก่อนหน้านี้เป็นเนืองๆมาก่อนแล้ว ทำให้คนในชุมชนรู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์วันนี้อย่างไร

(โปรดดูhttps://www.facebook.com/soraya.jamjuree)

ในขณะที่ฝั่งแม่ทัพภาคสี่บอกผ่านสื่อทุกสำนักว่าประสบความสำเร็จ ใกล้ถึงรังโจรและโทษกลุ่มประชาสังคมกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวในหมู่บ้าน

                    “ การลงพื้นที่และการเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรต่างๆ เป็นมุขเก่าๆ สมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และที่สำคัญเป็นการยืนยันได้ว่า การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้มาถูกทางแล้ว พอเราเข้าไปถึงในพื้นที่ก็เริ่มมีการก่อม็อบ ปลุกระดม อ้างองค์กรโน้น องค์กรนี้ แสดงว่าเราเข้าไปถึงรังใหญ่เขาแล้ว” ถ้าเขาไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีการก่อม็อบ ปลุกระดม ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย เรื่องก็เงียบเป็นปกติ เพราะว่าเราไม่ได้ไปกดขี่ข่มเหงประชาชน ชาวบ้าน เราขอความร่วมมือ แสดงความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งชาวบ้านเขาไม่ได้ว่าอะไร “มีเพียงกลุ่มเดียวที่พยายามปลุกระดมชาวบ้านให้ลุกขึ้นมา เหมือนกับโครงการอื่นที่รัฐบาลดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการพาคนกลับบ้าน พรก.คุ้มครองพยาน เพราะเราสามารถทำลายโครงสร้างของกลุ่มต่างๆ เขาได้หมด” พล.ท.ปิยวัฒน์ กล่าวว่า การออกมาเคลื่อนไหวกดดันเจ้าหน้าที่ของกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ออกมาโจมตี ก็จะยิ่งดี เพราเราจะได้รู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว “ยิ่งเกิดเรื่อง พวกผมก็หน้าด้านอยู่แล้ว ไม่ไปไหน อยู่และอยู่นานขึ้น แต่ถ้าเรื่องมันเงียบๆ ชาวบ้านเขามีความสุข มีรอยยิ้ม พวกผมก็กลับกรมกองเหลือเพียง อส.ชรบ.เป็นคนดูแล ยืนยันว่า ประชาชนในพื้นที่เขายินดีและให้ความร่วมมือ” ส่วนการดำเนินการตามประกาศคือ ให้ประชาชนนำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนทุกชนิด รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือทุกประเภท มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อตรวจสอบ ที่จะสิ้นสุดวันที่ 23 ก.ย.ก็อาจจะขยายเวลาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าประชาชนจะมีรอยยิ้ม และออกมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เราก็จะทำไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราจะให้ผู้ทำผิดกฎหมายมาแสดงตน เช่น ปืนผิดกฎหมาย เรือต้องมีเจ้าของ รถต้องมีเจ้าของ ต้องมาแสดงตน เราไม่ได้ไปบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด แค่ไปแสดงว่าเป็นเจ้าของ ครอบครอง หากไม่ถูกกฎหมายก็ต้องทำให้ถูกกฎหมาย “การปฏิบัติครั้งนี้เราทำให้กับประชาชน มีความสุข มีความสงบสุขในพื้นที่ ก็มีกลุ่มคนแค่กลุ่มเดียวที่พยายามทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา เราก็ต้องป้องปรามเพื่อให้ประชาชนมีความสุข” (โปรดดูhttp://www.komchadluek.net/news/local/344656)

พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความสิทธิมนุษยชน ได้ตั้งข้อสังเกต ต่อประกาศ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ฉบับ ดังกล่าว 5 ประเด็นดังนี้

1.      ประกาศฉบับนี้ไม่ใช้ประกาศใช้กฎอัยการศึก ความจริงแล้วพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่แล้ว ประกาศที่ออกมาเป็นประกาศพื้นที่ควบคุมพิเศษ ระหว่างวันที่ 16 ก.ย.- 23 ก.ย. เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวประกาศก็จะสิ้นผลไป แต่พื้นที่ดังกล่าวยังคงเป็นพื้นที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่

2.      ประกาศกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ฉบับที่ 86/2561 ลงนามโดยพล.ท.ปิยวัฒน์ นาควาณิช ในนาม ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน นั้นมีข้อน่าพิจารณาว่า ตำแหน่งผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค(ผอ.รมน.ภาค) ซึ่งก่อตั้งอำนาจโดย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 นั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 ประกาศดังกล่าวก็สะท้อนถึงความลักลั่นในการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ซึ่งมีกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงบังคับใช้ถึงสามฉบับ จนกระทั่งฝ่ายปฏิบัติการเองขาดความเข้าใจในบทบาทและอำนาจหน้าที่ของตน

3.       “พื้นที่ควบคุมพิเศษ” ไม่ได้มีกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457  พื้นที่ควบคุมพิเศษจึงมิใช่ถ้อยคำในทางกฎหมาย  เมื่อมิได้กำหนด “พื้นที่ควบคุมพิเศษ” ไว้ จึงไม่ได้มีผลใดในทางกฎหมาย อย่างไรก็ตามยังคงพิจารณาเนื้อหาของประกาศฉบับดังกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจในการประกาศดังกล่าวหรือไม่

4.      ตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 มาตรา 8 และ 9 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารในการดำเนินการตรวจค้น แต่การตรวจค้นนั้น จะต้องเป็นการตรวจค้น บรรดาสิ่งซึ่งจะเกณฑ์ หรือต้องห้าม หรือต้องยึด หรือจะต้องเข้าอาศัย หรือมีไว้ในครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น การสั่งให้บุคคลกระทำการเพื่อการตรวจสอบแบบไร้เป้าหมายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษจึงอาจจะไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว

5.      แม้ความรุนแรงจากการซุ่มยิงทำให้มีทหารเสียชีวิตสองนาย และบาดเจ็บอีกสี่ราย แต่มาตราการที่กำหนดให้ผู้ที่อาศัยในพื้นที่สองตำบล นำอาวุธปืน และเครื่องกระสุนทุกชนิด รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือทุกประเภทมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อตรวจสอบนั้นกลับก่อให้เกิดผลกระทบและความหวาดกลัวในวงกว้างกับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรง ซึ่งอาจเป็นมาตรการที่ขัดกับหลักความได้สัดส่วน (Principle of proportionality)เนื่องจากก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินสมควร อันขัดต่อมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

(โปรดดูhttps://prachatai.com/journal/2018/09/78783 )

 

         ในขณะ  24 ก.ย.2561 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่หน้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี พงษ์พันธ์ จันเล็ก แกนนำกลุ่มคนไทยพื้นที่รักสันติ พร้อมด้วยกลุ่มชาวไทยพุทธและมุสลิมกว่า 100 คน ได้มารวมตัวกันพร้อมเดินขบวนนำพวงหรีดที่มีข้อความระบุว่า “อาลัยยิ่งแด่สถาบันการศึกษา” และถือป้ายต่อต้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ และไม่เห็นด้วยกับกิจกรรมของกลุ่มนักเคลื่อนไหว และได้นำหนังสือแถลงการณ์เตรียมยื่นต่อรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่หน้าตึกอธิการบดี โดยมาจากกรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคล และกลุ่มนักศึกษาที่เรียกตัวเองว่า “PerMAS” สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปัตตานีและ คปส. เครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพ ที่ได้ออกแถลงการณ์ทำจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 โดยมีสาระต่อต้านการออกประกาศการใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก ที่มีผลบังคับใช้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากเหตุการณ์คนร้ายซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ขณะลาดตระเวนเส้นทาง เป็นเหตุให้เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 4 นาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา

พงษ์พันธ์ เปิดเผยว่า ทางกลุ่มได้ออกติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “PerMAS”  ซึ่งเป็นการทำกิจกรรมในพื้นที่สร้างความคิดต่อต้านรัฐ สร้างเงื่อนไขขัดขวางการสร้างสันติสุขในพื้นที่ วันนี้จึงเดินทางมาแสดงจำนงยื่นหนังสือ และขอให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ตรวจสอบ และกวดขันไม่ให้กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ออกไปสร้างความเสียหายในชุมชน ในพื้นที่ที่ต้องการสร้างความสันติสุข แถลงการณ์กลุ่มคนไทยพื้นที่รักสันติ จึงยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ดังนี้

1. เห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎอัยการศึก จนได้ตัวผู้กระทำความผิด
2. สถาบันไม่ควรอนุมัติให้ นศ.จัดกิจกรรมอันจะก่อให้เกิดความแตกแยก จากคำว่าประชาชนไทย และประชาชนปัตตานี
3. ไม่กระทำตนตามกฎหมาย ไม่เคารพกฎหมายการแสดงออกนี้ถือเป็นกบฏ
4. การใช้อำนาจใช้กฎหมายนี้ถูกต้อง เพราะเป็นประเทศไทย ไม่ใช่แผ่นดินปัตตานี
5. เห็นด้วยกับการบังคับใช้กฎหมายในเหตุการณ์เฉพาะ และให้คลายสถานการณ์เมื่อสำเร็จแล้ว เห็นด้วยกับการใช้ในแต่ละสถานการณ์ และขอสนับสนุนให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ให้เกิดสันติสุขกลับมาโดยเร็ว และขอกำลังใจให้เสนอความจริงกับทุกกลุ่มฝ่ายที่ร่วมสร้างสันติสุขให้เกิดในพื้นที่

ผู้จัดการออนไลน์ รายงานด้วยว่า ภายหลังการอ่านแถลงการณ์ 

ผู้จัดการออนไลน์ รายงานด้วยว่า ภายหลังการอ่านแถลงการณ์ กลุ่มคนไทยพื้นที่รักสันติได้ยื่นหนังสือให้แก่ ผศ.ดร.มนทิรา ลีลาเกรียงศักดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดย ผศ.ดร.มนทิรา กล่าวยืนยันจุดยืนว่า มหาวิทยาลัยยืนอยู่ข้างความถูกต้องและเคารพกฎหมาย ยินดีรับเรื่องให้คณะผู้บริหารได้ประชุมหารือ และแก้ไขปัญหาไปสู่การหาทางออกเรื่องนี้ต่อไป

        ครับเราจะเห็นสองฝากฝั่งทั้งต้านและหนุนกฎอัยการศึกหรือประกาศฉบับนี้ถึงแม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างทางวาจาโดยเฉพาะในโลกโซเซียล มีการกล่าวหาว่าแต่ละฝั่งมีคนอยู่เบื้องหลัง แต่ปรากฎการณ์แห่งนี้ยังใช้กระบวนการทางสันติวิธีในการแสดงออก ถึงแม้จะมีนักสันติวิธีบางคนจะออกมาแสดงความกังวลเช่น อาจารย์งามศุกร์   รัตนเสถียรสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล โดยท่านแสดงความกังวลผ่านเฟสบุ๊คว่า

    รู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ใครที่อยู่เบื้องหลังจะรู้ไหมว่า การตอบโต้แบบนี้จะนำไปสู่อะไรบ้าง จะดีกว่าถ้าชวนมานั่งคุยหารือว่า ทำไมไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกกฏอัยการศึก และมีข้อห่วงใยอะไร   เรามีประสบการณ์ให้เห็นมาแล้วในประเทศต่างๆไม่ว่ากรณีรวันดา/พม่า/อินโด รวมทั้งในบ้านเราเมื่อปี 2553 การเผชิญหน้าระหว่างประชาชนกับประชาชนสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนไปเท่าไร ใคร่ครวญกันให้รอบคอบเถอะค่ะ 15 ปีที่ผ่านมากเราต่างก็ทุกข์ใจกันมามากพอแล้ว อย่าให้ความโกรธเกลียดชังสร้างรอยแผลไปมากกว่านี้”

          ดังนั้นปัญหาใต้ไม่ว่าจะต้านหรือหนุนกฎอัยการศึกหรือเรื่องอื่นก็ขอให้ใช้สันติวิธี  อยู่ภายใต้กระบวนการทางประชาธิปไตย ในการแสดงออก  ในขณะคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ว่าฝ่ายใดขอให้ระลึกเสมอว่าทุกคนคือเพื่อนร่วมมนุษยชาติในประชาชาติเดียวกัน ซึ่งน่าจะท้าทายแม่ทัพภาคสี่คนใหม่พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ และนักการเมืองพรรคต่างๆในการนำเสนอนโยบายการพัฒนาและแก้ปัญหาจชต.

Contact Information

  • : มูลนิธิกองทุนไทย Thai Fund Foundation 2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
  • : webmaster@thaingo.org
  • : 082 178 3849
  • : www.thaingo.in.th

Thai NGO

ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม