แถลงการณ์สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เรื่อง ขอให้ทุกฝ่ายเคารพเสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงความคิดเห็น

1010 18 Jun 2013

ชื่อชุมชนที่ได้รับผลกระทบ: ทั่วไป จาก กรณีกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้เข้าปะทะกับกลุ่มหน้ากากขาวที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นจาก กลุ่มหน้ากากขาวได้เชิญชวนให้ผู้ที่มีความเห็นด้วยในการต่อต้านการทำงานของ รัฐบาลมาชุมนุมกันที่สวนสุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถนนนิมมานเหมินท์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ก็ได้มารวมตัวชุมนุมกัน ณ สถานที่เดียวกัน เพราะไม่ยอมให้กลุ่มหน้ากากขาวใช้พื้นที่เชียงใหม่ในการชุมนุมจนเป็นเหตุให้ มีการกล่าววาจาโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุมอีกฝ่ายหนึ่ง ลามไปถึงการทำลายทรัพย์สินและทำร้ายผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ ทำให้ความวุ่นวายเกิดขึ้นในบริเวณดังกล่าว และถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะได้ถอยร่น เลิกมีความคิดที่จะชุมนุมแล้วก็ยังคงมีการติดตามคุกคามผู้ชุมนุมอย่างต่อ เนื่องนั้น[1] สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)[2]และองค์กรสิทธิมนุษยชนที่มีรายชื่อแนบท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ มีความเห็นว่า การ กระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดเสรีภาพในการชุมนุม อันเป็นสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐและประชาชนทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเคารพเสรีภาพดังกล่าว ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
  1. เสรีภาพในการชุมนุมเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
รัฐธรรมนูญมาตรา 63 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ”ประชาชน ทุกกลุ่มจึงมีสิทธิเสรีภาพในการใช้พื้นที่เพื่อแสดงความคิดเห็นทั้งทางการ เมืองหรือเรื่องอื่นใดเพื่อเป็นข้อเรียกร้องไปถึงรัฐบาลหรือภาคส่วนต่างๆที่ เกี่ยวข้อง[3]ถึง แม้ว่าความคิดเห็นดังกล่าวจะเป็นความคิดเห็นที่ตนหรือกลุ่มของตนไม่เห็นด้วย หรือไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆก็ตามเสรีภาพดังกล่าวก็ย่อมไม่อาจถูกทำลายลงได้[4]และ หากกลุ่มประชาชนกลุ่มใดจะชุมนุมเพื่อแสดงความคิดเห็นในเชิงต่อต้านอีกฝ่าย หนึ่ง กลุ่มบุคคลนั้นก็ย่อมมีเสรีภาพในการกระทำได้ ภายใต้หลักการของประเทศเสรีประชาธิปไตยที่เคารพในความเห็นต่าง
  1. เสรีภาพในการชุมนุมต้องอยู่ภายใต้ความสงบและปราศจากอาวุธ
ถึง แม้ว่าประชาชนจะมีเสรีภาพในการชุมนุม แต่การชุมนุมดังกล่าว ย่อมต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายไม่เป็นการชุมนุมที่ใช้กำลังประทุษร้าย หรือการกระทำเพื่อสร้างความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง[5]และแม้ ในพื้นที่การชุมนุมจะมีความเห็นเป็นหลายฝ่ายก็ตาม แต่บุคคลทุกคนย่อมต้องเคารพสิทธิ เสรีภาพและความคิดเห็นของทุกฝ่าย ไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการละเมิดหรือเกินขอบเขตอำนาจที่ตนมีอยู่[6] กล่าวคือ ไม่ตอบโต้ความเห็นต่างด้วยความรุนแรง ทั้งการกระทำทางกาย หรือทางวาจา ซึ่งรวมถึงการกระทำอันมีลักษณะยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง (hate speech)[7]จน เป็นสาเหตุให้มีการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของผู้อื่นหรือก่อให้เกิดความไม่สงบอย่างใดๆ โดยการใช้เสรีภาพในการชุมนุมเกินขอบเขตดังกล่าวจะทำให้เสรีภาพในการชุมนุม ถูกยับยั้งและปฏิเสธ จากการขลาดกลัวด้วยความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นกับตนหรือกลุ่มของตน อีกทั้งเสรีภาพในการชุมนุมเป็นช่องทางที่ประชาชนใช้ในการติดต่อกับผู้มีความ เห็นเป็นอื่นมาอย่างช้านาน ทั้งนี้เพราะการมีความเห็นต่างจะนำไปสู่ทางออกของปัญหาอย่างมีเหตุผลร่วมกัน[8]การ ละเมิดเสรีภาพในการชุมนุมดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่อาจแก้ปัญหาหรือแลกเปลี่ยนความเห็นใดๆในสังคมได้ อีกทั้งไม่เป็นการเคารพต่อสิทธิ เสรีภาพของตนเองและผู้อื่นอันได้บัญญัติเสรีภาพในการะแสดงความคิดเห็นและ เสรีภาพในการชุมนุมไว้ในฐานะเสรีภาพพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ
  1. รัฐมีหน้าที่ที่ต้องคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน
รัฐบาลไทยได้เข้าเป็นภาคีในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966 ข้อ 21 “สิทธิในการชุมนุมโดยสงบย่อมได้รับการคุ้มครอง” โดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 รัฐบาลไทยจึงมีหน้าที่ต้องปกป้อง คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน[9] ไม่ทำให้ประชาชนเกิดความขยาดหรือความกลัวในการใช้สิทธิ เสรีภาพของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมารัฐยังไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ในการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพพื้นฐานของประชาชนอย่างเพียงพอ ดังจะเห็นได้จากกรณีการสลายการชุม และการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมที่ได้ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ[10]โดย เฉพาะอย่างยิ่ง การชุมนุมที่กลุ่มผู้ชุมนุมมีความคิดเห็นแตกออกมาเป็นหลายฝ่าย ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรง หรือการละเมิดสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ รัฐยิ่งต้องมีบทบาทให้การให้ความคุ้มครองให้ผู้ชุมนุมสามารถชุมนุมได้โดยสงบ และปลอดภัย อีกทั้งเสรีภาพในการชุมนุมเป็นหนึ่งในไม่กี่ช่องทางที่ประชาชนจะสามารถสื่อ สารกับรัฐได้ในฐานะประชาชนเจ้าของประเทศคนหนึ่ง รัฐบาลจึงมีหน้าที่ในการฟังความคิดเห็นของประชาชนและนำความเห็นดังกล่าวไป พิจารณา ทบทวนและพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน เสรีภาพในการชุมนุมจึงเป็นเสรีภาพที่สำคัญ ซึ่งหากรัฐให้ความสำคัญจะทำให้รัฐได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ปกป้อง คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง
  1. เจ้าหน้าที่ของรัฐจำต้องรักษาความสงบของบ้านเมืองและดูแลความปลอดภัยในการชุมนุม
นอก จากรัฐมีหน้าที่ต้องคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมให้แก่ประชาชนแล้ว เจ้าพนักงานของรัฐ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานฝ่ายปกครองซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลภายใต้การกำกับ ดูแลของรัฐ ย่อมต้องมีหน้าที่เป็นอย่างเดียวกับรัฐ ในฐานะเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้การดำเนินการของรัฐเป็นไปตามกฎหมายและ รัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญได้บัญญัติเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนไว้ เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงมีหน้าที่รักษาความสงบและดูแลความปลอดภัยในการชุมนุม ซึ่งถือเป็นการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขและคุ้มครองราษฎรอันเป็นบทบาทที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในฐานะข้าราชการพึงจะปฏิบัติอีกโสดหนึ่งด้วย การที่เจ้าหน้าที่ปล่อยปะละเลย จนทำให้เกิดการกระทบกระทั่งถึงขนาดทำร้ายร่างกายกันดั่งเช่นกรณีนี้ ถือได้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความสงบของ บ้านเมือง ดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุม และเป็นการไม่คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชนดั่งที่เจ้าหน้าที่รัฐพึงกระทำ จึงขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาให้ความดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยแก่ การชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้ อย่างชอบธรรมและถูกต้อง ดัง นั้นแล้ว ด้วยการชุมนุมที่เป็นไปในทางยุงยงให้เกิดความเกลียดชัง ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์หรือกระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าทางร่างกายหรือทรัพย์สินของผู้ที่มีความเห็นต่างจากตนจึงไม่อาจยอมรับ ได้ แม้ประชาชนจะมีเสรีภาพในการชุมนุมก็ตาม แต่การชุมนุมนั้นต้องเป็นไปในทางสงบและปราศจากอาวุธ การชุมนุมที่เกิดขึ้นมีการกระทำถึงขนาดที่มีการทำร้ายบุคคลอื่น จึงเป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพของตนเกินขอบเขตที่ตนมีอยู่ อันขัดกับหลักการในการเคารพความเห็นของผู้ที่เห็นต่างอันเป็นหลักการสำคัญ ของระบอบประชาธิปไตย ประชาชนทุก คนย่อมมีสิทธิในการจัดการชุมนุม เพื่อใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการชุมนุม รัฐและทุกภาคส่วนในสังคมไทยจึงมีหน้าที่ในการปกป้อง และคุ้มครองเสรีภาพดังกล่าว อันเป็นการเคารพในสิทธิ เสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญซึ่งได้รับความเห็นชอบจากปวงชนชาวไทย ด้วยความเคารพในสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Crcf) ศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC)

Contact Information

  • : มูลนิธิกองทุนไทย Thai Fund Foundation 2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
  • : webmaster@thaingo.org
  • : 082 178 3849
  • : www.thaingo.in.th

Thai NGO

ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม